Website
1166
facebook
twitterx
youtube
Instagram
pantip
TikTok
line
connect








เชื่อโฆษณาทำให้เด็กกินขนมขบเคี้ยวเพิ่มขึ้น

07 ส.ค. 2549

           ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน 71% เชื่อโฆษณาทำให้เด็กบริโภคขนมขบเคี้ยว ส่วนอิทธิพลที่มีต่อเด็กในการเลือกซื้ออันดับต้นๆ เพราะสีสัน ความนิยมตามเพื่อน ของแถม แต่ผู้ปกครองส่วนมากยังยืนยันไม่อยากให้บุตร-หลานกินขนมขบเคี้ยวมากเพราะไม่มีประโยชน์ ที่สำคัญพ่อแม่ควรจะดูแลควบคุมการบริโภคของเด็กอย่างใกล้ชิด พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลหามาตรการควบคุมคุณภาพอาหาร 
  
          สวนดุสิตโพลได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการบริโภคขนมขบเคี้ยว ซึ่งปัจจุบันเด็กไทยนิยมรับประทานขนมขบเคี้ยวเพิ่มขึ้น เพราะมีให้เลือกหลายแบบหลายรสชาติ ทำให้พฤติกรรมการบริโภคของเด็กเปลี่ยนแปลงไป ส่วนหนึ่งมองว่าเกิดจากตัวเด็กเองที่ชื่นชอบการรับประทานขนมอีกส่วนหนึ่งมองว่าเกิดจากสื่อโฆษณาที่จูงใจเด็กให้ลองรับประทาน โดยทำการสำรวจประชาชนทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,057 คน เป็นชาย 434 คน 41.06% และหญิง 623 คน 58.94% ระหว่างวันที่ 12 - 13 มีนาคม 2547
 
          ต่อคำถามว่า "ประชาชน” เชื่อหรือไม่? ว่าเด็กบริโภคขนมขบเคี้ยว เป็นเพราะการโฆษณา ส่วนใหญ่เชื่อ 71.76% เพราะ สื่อโฆษณามีอิทธิพลต่อเด็กเป็นอย่างมากในปัจจุบัน, สื่อโฆษณาสมัยนี้มีวิธีการเชิญชวนที่น่าสนใจมากขึ้น ฯลฯ มีประชาชน 15.36% ไม่แน่ใจเพราะ อาจไม่ใช่เพียงโฆษณาแต่รวมถึงรสชาติที่ถูกปากหรือบริโภคตามเพื่อนก็ได้ ฯลฯ ส่วนอีก 12.88%ไม่เชื่อ เพราะ เป็นนิสัยปกติของเด็กอยู่แล้วที่ต้องชอบทานขนม, เด็กจะเลือกที่รสชาติ บรรจุภัณฑ์และของที่แถมมามากกว่า ฯลฯ 
 
         "ประชาชน” คิดว่าบุตรหลาน ทำไม? จึงชอบบริโภคขนมขบเคี้ยว อันดับ1 39.23% บอกว่า มีรสชาติและสีสันน่ารับประทาน ถูกใจเด็ก อันดับที่ 2 14.12%เป็นความนิยมของเด็ก/ตามเพื่อน อันดับที่ 3 13.67%มีของแถม ของชำร่วยไว้ล่อใจเด็ก อันดับที่ 4 หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก 12.13% ส่วนอันดับสุดท้าย 12.10% มีการใช้การโฆษณาที่ดึงดูดใจเด็ก ส่วนอื่นๆ อีก 8.75% บอกว่ามีบรรจุภัณฑ์ที่สวย, น่าสนใจ, แปลกตา
 
          เมื่อถามถึงความเห็นของ "ประชาชน” ว่า อยากให้บุตรหลาน บริโภคขนมขบเคี้ยวหรือไม่? ส่วนใหญ่ไม่อยากให้รับประทาน 61.54%เพราะ ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณค่าทางอาหารและมีสารปนเปื้อนอยู่ อาจเกิดการสะสมอยู่ในร่างกายอาจเป็นอันตรายได้ ฯลฯ อันดับที่ 2 ไม่แน่ใจ 22.67% เพราะ ต้องพิจารณาดูก่อนว่าสมควรจะกินมากน้อยเพียงใดเพราะบางอย่างก็มีประโยชน์บางอย่างก็ไม่มีประโยชน์ ฯลฯ อันดับที่ 3 อยากให้รับประทาน 15.79% เพราะ ขนมบางอย่างก็มีประโยชน์, คงห้ามไม่ได้เพราะเป็นธรรมชาติของเด็ก แต่ควรควบคุมให้บริโภคในปริมาณที่เหมาะสม ฯลฯ
 
          "ประชาชน” มีความคิดเห็นว่า ผู้ปกครอง/พ่อแม่น่าจะมีส่วนสำคัญที่สุดในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลการบริโภคขนมขบเคี้ยวของเด็กคือ ให้คำแนะนำแก่บุตรหลานให้รู้จักการบริโภคสิ่งที่มีประโยชน์ 51.60% อันดับที่ 2 ดูแลพฤติกรรมการบริโภคของเด็กอย่างใกล้ชิด 26.98% อันดับที่ 3 เลือกซื้ออาหารที่มีประโยชน์พร้อมทั้งอธิบายทั้งคุณและโทษของขนมขบเคี้ยวให้เด็กได้ทราบ 21.42%
 
          ส่วนครู/อาจารย์ควรให้ความรู้แก่เด็กเกี่ยวกับประโยชน์และโทษของขนมขบเคี้ยว 52.51% อันดับที่ 2 สอนในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการ สารอาหารที่ควรได้รับ 24.61%อันดับที่ 3แนะนำสิ่งที่มีประโยชน์แก่เด็ก เช่น นม ผัก ผลไม้ ธัญพืช ฯลฯ 22.88%  
 
          สำหรับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)ควรมีส่วนร่วมในการควบคุมมาตรฐานและตรวจสอบคุณภาพการผลิต, คุณค่าทางโภชนาการ 46.15% อันดับที่ 2 ตรวจสอบและดูแลบริษัทผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวอย่างเข้มงวด 32.69% อันดับที่ 3 ไม่ให้มีการโฆษณาที่ไม่เป็นความจริง เกิดการยั่วยุให้บริโภค 21.16% และรัฐบาล ควรต้องดูแลควบคุมมาตรฐาน ตรวจสอบสินค้าต่างๆ อย่างเข้มงวด 39.01% อันดับที่ 2 ปราบปรามผู้ผลิตที่ไม่ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยา (อย.)32.82%อันดับที่ 3 ส่งเสริมขนมไทย เช่น ทองม้วน, มะข้ามแก้ว เป็นต้น28.17%
 
          ส่วน"ประชาชน” คิดว่า "รัฐบาล” ควรมีมาตรการในเรื่องนี้อย่างไร ?อันดับที่ 1 ควรมีการควบคุมคุณภาพของขนมขบเคี้ยว เช่น วัตถุดิบ, การผลิต30.69%ออกกฎหมายหรือข้อกำหนดที่ชัดเจนแก่ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยว20.45% อันดับที่ 3 ดูแลในเรื่องของการโฆษณาไม่ให้เกินความเป็นจริง20.44%อันดับที่ 4 ควรมีการกำหนดคุณประโยชน์สารอาหารขั้นต่ำที่จะได้รับจากขนม 18.48%อันดับที่ 5 รณรงค์ให้เห็นคุณและโทษของขนมขบเคี้ยวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น 9.94% 
 
 
เว็บไซต์ที่มา :
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=4725594765543
แหล่งที่มา : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ